📕 แสงสีแดง ใช้ในการรักษาสิว ลดอาการอักเสบ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดรอยเหี่ยวหย่น
📒 แสงสีเหลือง ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น กระตุ้นการทำงานของเซลล์ ทำให้ผิวแข็งแรงไม่แพ้ง่าย
📘 แสงสีฟ้า ช่วยรักษาอาการอักเสบของสิว ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดอาการอักเสบของผิว ลดผดผื่นและอาการแดง
การรักษาสิวด้วยวิธี Photo Dynamic Therapy
PDT เป็นกระบวนการใช้แสงกระตุ้นการออกฤทธิ์ของสารละลายชนิดพิเศษลงบนบริเวณผิวที่เป็นสิวอักเสบ แสงที่ใช้ในการกระตุ้นคือ Blue light , Red Light , Yellow light
BLUE LIGHT – มีความยาวครึ่งตั้งแต่ 400- 450 นาโนเมตร เป็นลำแสงสีฟ้า ใช้ในการรักษาและป้องกันการเกิดสิวอักเสบดูดซับกับสารละลายได้ดีกว่าสีแดง แต่ลงได้ตื้นกว่า ซึ่งหนึ่งในสาเหตุของการเกิดสิวคือแบคทีเรีย แบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวมีชื่อว่า Propionibacterium Acne,or P acne blue light จะกระตุ้น Porphyrin ทำให้กลายเป็นพิษ และสารพิษนี้จะไปทำลายเชื้อแบคทีเรียการเกิดสิวจึงลดลง
RED LIGHT – มีความยาวคลื่นตั้งแต่ 610 – 700 นาโนเมตร เป็นลำแสงสีแดงใช้ในการรักษาสิวอักเสบและ ดูดซับสารละลายได้น้อยกว่าแสงสีฟ้าแต่ลงได้ลึกกว่า จะกระตุ้น Porphyrin ทำให้กลายเป็นผิดและสารพิษนี้จะไปทำลายเชื้อแบคทีเรียเมื่อพีแอคเน่ถูกทำลายไปการเกิดสิวจึงลดลง เพราะมีความยาวคลื่นที่มากกว่าแสงสีฟ้า สามารถลงลึกได้ถึงต้องไขมันได้และช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอยเล็กๆได้
Yellow Light – ความยาวคลื่น 590 นาโนเมตร ช่วยกระตุ้นระบบต่อมน้ำเหลืองให้ขับของเสียและช่วยดีท๊อกเพื่อความสะอาดลึกถึงเซลล์ผิวหน้า
PDT ทำอะไรกับผิวเราบ้าง
1. ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน เมื่อต่อมไขมันลดการผลิตน้ำมันลง ความมันบนผิวก็จะลดลงการอุดตันของไขมันในรูขุมขนลดลงด้วย ดังนั้นการเกิดสิวก็ลดลงตามไปด้วย
2. ช่วยกระตุ้นรูขุมขน และลดเลือนริ้วรอยเล็กๆด้วยการกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนซึ่งจะเห็นผลในระยะยาว
3. ช่วยปรับสภาพผิว ลดความหมองคล้ำ ลดเลือนจุดด่างดำ รอยแดงจากสิว ทำให้หน้าใสเรียบเนียนขึ้น
PDT เหมาะกับใคร
เหมาะกับผู้สิวมีอักเสบ สิวหนอง สิวอุดตัน ผิวหน้ามันและต้องการรักษาสิวควบคุมการเกิดสิว ไม่อยากรับประทานยากลุ่มโรแอคคิวเทน
ผลข้างเคียงในการรักษาสิวด้วย PDT
หน้าอาจจะคล้ำแดดได้ ควรหลีกเลี่ยงแดดจัด หลังจากที่ฉายแสงแล้ว 1-2 วัน
จะต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล
การรักษานั้นจะเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ สามารถทำได้ทุกสัปดาห์
