การรักษาสิวด้วยวิธี PDT (Photo Dynamic Therapy)
Red Light แสงสีแดง
มีความยาวคลื่นตั้งแต่ 610-700 นาโนเมตร เป็นลำแสงสีแดง ใช้ในการรักษาสิวอักเสบ และ Anti-aging ดูดซับสารละลายได้น้อยกว่าแสงสีฟ้า แต่ลงได้ลึกกว่า จะกระตุ้น Porphyrin ทำให้กลายเป็นพิษ และสารพิษนี้จะไปทำลายเชื้อแบคทีเรีย C. acne ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว เมื่อเชื้อสิวถูกทำลายไป การเกิดสิวจึงลดลง เพราะมีความยาวคลื่นที่มากกว่าแสงสีฟ้า จึงสามารถลงลึกได้ถึงต่อมไขมันได้และช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ ได้
Yellow Light แสงสีเหลือง
มีความยาวคลื่น 590 นาโนเมตร ช่วยกระตุ้นระบบต่อมน้ำเหลืองให้ขับของเสียออกมา ช่วยดีท๊อกซ์เพื่อความสะอาดลึกถึงเซลล์ผิวหน้า และช่วยลดการบวมของหน้า
Blue Light แสงสีฟ้า
มีความยาวคลื่นตั้งแต่ 400-450 นาโนเมตร เป็นลำแสงสีฟ้า ใช้ในการรักษาและป้องกันการเกิดสิวอักเสบ ดูดซับกับสารละลายได้ดีกว่าสีแดง แต่ลงได้ตื้นกว่า ทำหน้าที่เหมือนแสงสีแดง
ช่วยในเรื่องอะไรบ้าง
- ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน เมื่อต่อมไขมันลดการผลิตน้ำมันลง ความมันบนผิวก็จะลดลง การอุดตันของไขมันในรูขุมขน
ลดลง ดังนั้นการเกิดสิวก็จะลดลงตามไปด้วย - ช่วยกระชับรูขุมขน และลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ ด้วยการกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนซึ่งจะเห็นผลในระยะยาว
- ช่วยปรับสภาพสีผิว ลดความหมองคล้ำ ลดเลือนจุดด่างดำ รอยแดงจากสิว ทำให้หน้าใสเรียบเนียนขึ้น
เหมาะกับใคร
เหมาะกับผู้ที่มีสิวอักเสบ สิวหนอง สิวอุดตัน ผิวหน้ามัน และต้องการรักษาสิว ควบคุมการเกิดสิว แต่ไม่อยากรับประทานยาในกลุ่มโรแอคคิวเทน
ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล
การรักษาด้วย PDT นั้นจะเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ สามารถทำได้ทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิว
ในบางราย การทำต่อเนื่องกัน 4-6 ครั้ง ทำให้สิวหาย และไม่กลับมาเป็นสิวอีก แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาผิวหน้า และการบริโภคอาหารของแต่ละบุคคลด้วย
ผลลัพธ์ที่ได้จากการรักษา
- สิวอุดตัน และสิวอักเสบลดลง
- รอยแดง และรอยตำจากสิวจางลง
- ลดความมันบนใบหน้า
- ลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ
- หน้าใสขึ้น
- รูขุมขนกระชับ ผิวเรียบเนียน